วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ ของ Whatsapp เรื่องราวที่พลิกผันราวกับละครไทย

วันนี้ 7 ตุลาคม  2557  Facebook เข้าครองกิจการ Whatsapp มูลค่ากว่า 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เรามาดูกันว่า Whatsapp มาจากไหนอย่างไร

ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทแอพส์ เรื่องราวที่พลิกผันราวกับละครไทย
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ
ข่าวการเข้าซื้อกิจการ Whatsapp โดย Facebook สร้างความสนใจไปทั่วโลกด้วยราคาการซื้อกิจการที่สูงมากถึง 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ  Whatsapp ที่เป็น App ที่เกิดขึ้นมาหลังจากที่ BlackBerry ก้าวขึ้นมาสร้างความโดดเด่นในตลาด Smartphone ด้วยความสามารถทางการส่งข้อความแบบไม่ต้องเสียค่า SMS ด้วยการใช้ระบบ Messaging ของตัวเอง ซึ่งหากใครอยากได้รับประโยชน์ด้าน Messaging ที่ไม่ต้องเสียเงินแบบนี้ ต้องเข้ามาอยู่ในระบบของ BlackBerry เท่านั้น
แต่ จุดเด่นที่สร้าง BlackBerry ขึ้นมากลับเป็นสิ่งจูงใจให้เกิดความพยายามในการทำให้ระบบ Messaging ที่ไม่ต้องเสียเงินค่า SMS นี้สามารถใช้พูดคุยกันข้ามระบบไปสู่ OS อื่นๆเช่น iOS ของ Apple และ Android ของ Google ให้ได้ และเจ้า App ที่ชื่อ Whatsapp นี่แหละที่สร้างความเปลี่ยนแปลงนี้จนเป็นปัจจัยหนึ่งของความเสื่อมถอยของ BlackBerry เลยก็ว่าได้
วันนี้เรามาดูกันดีกว่าครับว่า  WhatsApp มีประวัติ ที่มา อย่างไรที่เข้ามาเป็นตัวพลิกผันวงการ SmartPhone ได้ทั่วโลก
whatsapp-Co-founders
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ
WhatsApp เป็น App ด้าน Messaging ที่เกิดขึ้นมาเพื่อการส่งข้อความข้าม OS กันได้แบบไม่ต้องเสียค่า SMS เป็นไอเดียของหนุ่มอเมริกันที่ชื่อ Brian Acton (คนซ้าย) กับ หนุ่มชาวยูเครน ที่ชื่อ Jan Koum (คนขวา) โดย Jan Koum เป็นชาวยูเครนที่อพยพมาอยู่ที่ California กับแม่ของเขา ความเป็นอยู่ของ Jan Koum ในช่วงแรกนับได้ว่าแร้นแค้นเลยทีเดียว อาศัยประทังชีวิตด้วยแสตมป์อาหารที่ทางรัฐบาลจัดให้กับคนที่ไม่มีรายได้เพียงพอ
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ Jan Koum CEO
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ Jan Koum CEO
Jan Koum เริ่มทำงานที่แรกในปี 1997 ที่ Yahoo อันเป็นที่ที่เค้าได้ทำงานร่วมกับ Brian Acton ทั้งคู่ทำงานด้วยกันมาเป็นเวลา 10 ปี จนในปี 2007 พวกเค้าก็ลาออกจาก Yahoo และพักผ่อนไม่ได้ทำงานเป็นเวลา 1 ปี ต่อมาในปี 2009 พวกเค้าทั้งสองคนก็เกิดอยากทำงานอีกครั้งจึงไปสมัครงานที่ Facebook แต่ Facebook ไม่รับพวกเค้าเข้าทำงานครับ ไม่น่าเชื่อว่าอีกเพียง 5 ปีต่อมา Facebook ต้องจ่ายเงินถึง 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อที่จะได้ครอบครองสิ่งที่ Brian Acton และ Jan Koum คิดค้นขึ้นมา (รู้งี้ จ้างดีกว่าไหม)
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ Brain Acton Co Founder
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ Brain Acton Co Founder
ในปี 2009 นั้นเอง Brian Acton และ Jan Koum ได้ซื้อ iPhone มาใช้ (เดาเอาเองว่า เขาประสพปัญหาการส่งข้อความไปยัง BlackBerry) พวกเขาเกิดไอเดียขึ้นมาทันทีว่า  iPhone ที่มีระบบ App Store นี่แหละที่จะเป็นตัวเปลี่ยนอุตสาหกรรมซอฟแวร์และ พวก iPhone นี่แหละที่น่าจะต้องการใช้ระบบอะไรสักอย่างที่จะสามารถทำให้พวกเค้าติดต่อกับผู้ที่ใช้ BlackBerry ได้ พวกเขาใช้เวลาคิดอยู่ไม่นานและชื่อ WhatsApp ก็เกิดขึ้นโดย Jan Koum นี่แหละที่เป็นผู้เลือกชื่อ เพราะมันฟังดูเหมือน What’s Up ดี
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ: 4 Years Growth Comparison
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ: 4 Years Growth Comparison
เขามีการเอาอัตราการเจริญเติบโตของลูกค้ามาเปรียบเทียบกันครับ สมมติว่า WhatsApp Facebook Gmail Twitter Skype ต่างๆเหล่านี้มาเทียบกันว่า หลังจากที่แต่ละบริษัทเกิดมา 4 ปี (แม้จะเกิดไม่พร้อมกัน) ใครจะมีลูกค้ามากกว่ากัน เขาพบว่า WhatsApp เป็นธุรกิจที่มีลูกค้าเข้ามาอยู่ในมือมากที่สุดถึง 41 ล้านคน ในขณะที่ 4 ปีแรก Facebook ยังแค่มีสมาชิกเพียง 145 ล้านคนเท่านั้น   และล่าสุด WhatsApp ก็มีลูกค้าถึง 450 ล้านคนไปแล้ว
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาถึงแม้ Facebook จะมีสมาชิกมากกว่า WhatsApp อย่างมากมาย แต่ Facebook ที่ออกระบบ Facebook Messaginge ก็ไม่สามารถทำให้สมาชิกหันมาใช้บริการการส่งข้อความกันแบบ Messaging ได้เท่า WhatsApp ดังนั้นเพื่อเป็นการขยายธุรกิจและต่อยอด Facebook จึงไม่เสียเวลาสู้รบปรบมือกับ WhatsApp ให้เสียเวลา เขาเลยซื้อซะเลย ง่ายดี
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ: Market Share of Messaging App
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ: Market Share of Messaging App
บล็อกนี้ก็เลยขอจบด้วยการสรุปว่า ความพลิกผันของชีวิต และ ธุรกิจ ช่างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้โดยง่ายเสียเหลือเกิน จากคนที่แทบไม่มีอะไรจะกิน มาทำงาน ไปสมัครงานเขาก็ไม่รับ เลยทำธุรกิจเสียเอง จนประสพความสำเร็จและก็ได้รับเกียรติจากบริษัทที่เคยปฏิเสธการรับเข้าทำงาน มาซื้อกิจการในราคาที่สูงลิ่ว และ กลายเป็นอภิมหาเศรษฐีคนนึงของ Silicon Valley กันไปเลย
ชีวิตนี่มันต้องสู้อย่างเดียวจริงๆเลยนะครับ ต้องสู้ ต้องสู้ถึงจะชนะ เพลงเค้าร้องไว้
ข้อมูลจาก
http://www.trachoo.com/2014/02/21/how-whatsapp-created-and-bought-by-facebook/

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หมูปิ้งนมสด

วิธีทำหมูปิ้งนมสด สูตรหมูปิ้งนมสด
เครื่องปรุง
เนื้อหมู เอาติดมันก็ได้ หรือ เนื้อสันก็ดี 1 กิโลกรัม / ซีอิ้วดำ 1/2-1 ชต. / นมข้นจืด 3-4 ชต. หรือนมสด 1 ถ้วย / น้ำตาลปิ้บ 1/2 ถ้วย / น้ำตาลทรายนิดๆ / น้ำมันหอย นิดหน่อย / ซีอิ้วขาวเห็ดหอม 2-3 ชต / กระเทียม รากผักชี พริกไทย 2 ชต. / น้ำมันมะกอก 2-3 ชต. / (ชต หมายถึง ช้อนโต๊ะ)
ผสมกันเสร็จชิมดูก่อนว่ารสออกมาแบบไหน ถ้าชอบหวานชอบเค็มก็เต็มเพิ่มลงไป
วิธีทำ
ล้างหมูให้สะอาดแล้วแล่อย่าบางมาก แล้วนำไปคลุกเคล้ากับส่วนผสมแล้ว นำไปแช่ในตู้เย็นสัก 1-2 วัน ค่อยนำออกมาเสียบไม้ปิ้ง หรือเจ้าของสูตรเดิมเขาเสียบไม้ไว้เลยแล้วแช่ฟิต 3 วัน ค่อยเอาออกมาปิ้ง แช่ฟิตจะทำให้หมูนุ่มมาก ๆ ครับ
ตอนปิ้งหมู น้ำปรุงที่เหลืออย่าทิ้งให้นำน้ำกะทิมาผสม ขณะที่กำลังปิ้งก็ใช้น้ำปรุงนี้ทาลงไปที่หมูกำลังปิ้งเพื่อให้หยดลงไปถ่าน กำลังร้อน ๆ จะได้มีควันหอม ๆ รมหมูด้วย
- ถ้าจะให้สุดยอดยิ่งขึ้นควรจะใส่ซอสหอยนางรมไปบ้างเล็กน้อย ควรใช้ซอสหอยอย่างราคาไม่แพงเพราะว่ามีแป้งผสมอยู่บ้างแล้ว เหยาะผงกระหรี่พอเห็นด้วยหางตา เวลาปิ้งควรพรมน้ำหมักไปด้วยเล็กน้อยจะทำให้เกิดควันและกลิ่นซึ่งเป็นหัวใจ ของการขาย แต่อย่าให้ถึงขนาดมองหน้ากันไม่รู้เรื่อง ปิ้งกะว่าเกือบสุก เมื่อมีลูกค้าจีงค่อยปิ้งตอนจบ จะทำให้หมูปิ้งของคุณไม่แห้ง อวบอูมอิ่มเอิบน่ารับประทาน ใส่ถุงพลาสติกมัดให้แน่น ย้ำลูกค้าว่าอย่าเปิดจนกว่าจะทาน
- โขลกรากผักชี กระเทียม พริกไทย ( 3 อย่างนี้อย่าขี้เหนียวนะเพราะจะทำให้หอมมากครับ) หมักทิ้งไว้ไม่น้อยกว่า 2 ชม.เพื่อให้เครื่องปรุงซึมเข้าถึงเนื้อ แต่ถ้าคุณต้องการทำขายควรหมักทิ้งไว้ข้ามคืน
- ปกติจะหมักหมูที่หั่นแล้ว การหั่นมีหั่นสองแบบ แบบแรกคือใช้หมูสันนอกเนื้อจะแข็งไม่มีมัน แล่เป็นแผ่นเลยกับอีกแบบคือ ใช้หมูสันใน เนื้อจะแดงๆ ไม่เป็นแผ่นๆ มันแทรกนิดหน่อย หั่นชิ้นเล็กๆ ยาวๆ ไม่ต้องหนา
- เวลาหั่นเลือกหั่นตามขวาง ลายเส้นของหมู จะกัดง่ายขึ้น เวลาซื้อนี่เลือกติดมันหน่อยหนึ่ง
- การทำให้หมูนุ่มหลัก ๆ มี 4 สูตรครับ คือ
1. สูตรหมูนุ่มสูตรแรก ใส้แป้งมันหมักกะหมู ผลที่ได้ จะได้เนื้อนุ่มแบบ ดึ๊ง ๆ เหมือน หมู ใน ราดหน้า ร้านดัง ๆ
2. สูตรที่สอง หมักหมูกะ มะละกอดิบครับ ขยำ ๆ ทิ้งไว้ สองชั่วโมง นิด ๆ เนื้อหมูที่ได้ จะ นุ่ม แบบ ยวบ ๆ ประมาณว่าแค่เอามีดลูบ ๆ ก้อขาด (อย่าหมักนานมากนะ เดี่ยว จะเละซะก่อน)
3.สูตรหมูนุ่มสูตรสาม คือ ใส่ Baking Soda แต่แหวะ ไม่อร่อยเท่าไหร่ มันจะนุ่มแบบไม่นุ่ม (งงปะ) แต่ตลาดทั่วไปชอบใช้สูตรนี้ เพราะมันประหยัดต้นทุนครับ
4. สูตรหมูนุ่มสูตรสี่ คือ ขยำมะม่วงหวานลงไป ในขั้นตอนสุดท้ายอย่ามาก แค่เอาสีกับกลิ่น สูตรนี้จะทำให้หมูของคุณแดงแบบส้ม ๆ ไม่เหมือนใช้มะละกอ และจะออกหวาน ๆ มัน ๆ แทนกลิ่นซี้อิ๊ว แต่ผมว่าแรก ๆ จะอร่อยนะ แต่นาน ๆ ไปมันจะไม่อร่อย เพราะมันจะติดลิ้นว่าหวาน แต่สูตรนี้กินกับน้ำจิ้มแจ่วอร่อยเหาะไปเลยครับ เพราะมันจะไปตัดกับเค็มของน้ำจิ้มแจ่ว ออกหวานแบบอร่อย ๆ
สุดท้าย ท้ายสุด
เนื้อหมูที่ใช้ ควรเป็นเนื้อสันส่วนขาหลัง ติดมันนิดหน่อย ถ้าเนื้อหมูที่ซื้อมาติดมันมากเกินไปก็ให้แล่เอามันออกทิ้งไปบ้าง 
เวลาแล่เนื้อหมูก็ต้องพยายามแล่ให้ได้ขนาดเสมอกันเพื่อความสวยงาม เวลาเสียบก็ต้องเสียบเนื้อหมูตามขวาง เนื้อหมูจะได้ดูหนา เวลากินจะไม่เหนียว และที่สำคัญจะต้องหมักหมูทิ้งไว้ในช่องฟรีซสัก 2 -3 วันถึงจะดี เวลาจะนำมาปิ้งก็เอาออกมาจากช่องฟรีซ แล้วทิ้งให้น้ำแข็งละลายก่อน เครื่องจะเข้าเนื้อและนุ่ม ถ้าหมักแล้วย่างเลยจะไม่อร่อย เวลาปิ้งจะไม่สวย เนื้อหมูก็จะติดตะแกรงด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก  Payutthapong Jakavaro