วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

คำขวัญวันเด็ก แต่ละปี

ปี พ.ศ. ชื่อนายกรัฐมนตรี คำขวัญของนายกรัฐมนตรี
2502 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ "ขอให้เด็กไทยในสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้าจงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า"
2503 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ "ขอให้เด็กไทยในสมัยปฏิวัติของข้าพ เจ้าจงเป็นเด็กที่รักความสะอาด"
2504 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ "ขอให้เด็กไทยในสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย"
2505 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ "ขอให้เด็กไทยในสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่ประหยัด"
2506 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ "ขอให้เด็กไทยในสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่มีความขยันมั่นเพียรมากที่สุด"
2507 จอมพล ถนอม กิตติขจร (งดจัดงานวันเด็ก)
2508 จอมพล ถนอม กิตติขจร "เด็กจะเจริญต้องรักเรียนและเพียรทำดี"
2509 จอมพล ถนอม กิตติขจร "เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะบากบั่นและสมานสามัคคี"
2510 จอมพล ถนอม กิตติขจร "อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรง เรียนดี มีความประพฤติเรียบร้อย"
2511 จอมพล ถนอม กิตติขจร "ความเจริญและความมั่นคงของชาติไทยในอนาคต ขึ้นอยู่กับเด็กที่มีวินัยมีความเฉลียวฉลาด และรักชาติยิ่ง"
2512 จอมพล ถนอม กิตติขจร "รู้เรียน รู้เล่น รู้สามัคคี เป็นความดีที่เด็กพึงจำ"
2513 จอมพล ถนอม กิตติขจร "เด็กประพฤติดีและศึกษาดี ทำให้มีอนาคตแจ่มใส"
2514 จอมพล ถนอม กิตติขจร "ยามเด็กจงมั่นเรียน เพียรกระทำดี เติบใหญ่จะได้มีความสุขความเจริญ"
2515 จอมพล ถนอม กิตติขจร "เยาวชนฝึกตนดี มีความสามารถ"
2516 จอมพล ถนอม กิตติขจร "เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ"
2517 นายสัญญา ธรรมศักดิ์ "สามัคคีคือพลัง"
2518 นายสัญญา ธรรมศักดิ์ "เด็กคือทายาทของชาติไทย ต้องร่วมใจ ร่วมพลังสร้างความดี"
2519 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช "เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรืองจะต้องทำตัวให้ดี มีวินัยเสียแต่บัดนี้"
2520 นายธานินทร์ กรัยวิเชียร "รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชนไทย"
2521 พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ "เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติมั่นคง"
2522 พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ "เด็กไทยคือหัวใจของชาติ"
2523 พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ "ขยัน อดทน ประหยัด เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย"
2524 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ "มีวินัยใจซื่อสัตย์ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม"
2525 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ "ขยัน ศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย"
2526 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ "รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัย และคุณธรรม"
2527 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ "รักวัฒนธรรมไทย ใฝ่ดี มีความคิด สุจริต ใจมั่น"
2528 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ "สามัคคี มีวินัย ใฝ่คุณธรรม"
2529 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ "นิยมไทย ใช้ประหยัด ใจซื่อสัตย์ ถือคุณธรรม"
2530 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ "นิยมไทย ใช้ประหยัด ใจซื่อสัตย์ ถือคุณธรรม"
2531 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ "นิยมไทย ใช้ประหยัด ใจซื่อสัตย์ ถือคุณธรรม"
2532 พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ "รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจซื่อสัตย์ ถือคุณธรรม"
2533 พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ "รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจซื่อสัตย์ ถือคุณธรรม"
2534 นายอานันท์ ปันยารชุน "รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา"
2535 นายอานันท์ ปันยารชุน "สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม"
2536 นายชวน หลีกภัย "ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม"
2537 นายชวน หลีกภัย "ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม"
2538 นายชวน หลีกภัย "สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม"
2539 นายบรรหาร ศิลปอาชา "มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด"
2540 พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ "รู้คุณค่าวัฒนธรรมไทย ตั้งใจใฝ่ศึกษา ไม่พึ่งพายาเสพติด"
2541 นายชวน หลีกภัย "ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย"
2542 นายชวน หลีกภัย "ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย"
2543 นายชวน หลีกภัย มีวินัย "ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย"
2544 นายชวน หลีกภัย มีวินัย "ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย"
2545 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร "เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคต ที่สดใส"
2546 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร "เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี"
2547 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร "รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดี ๆ อนาคตดีแน่นอน"
2548 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร "เด็กรุ่นใหม่ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด"
2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร "อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด"
2550 พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ "มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข"
2551 พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ "สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม"
2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ "ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคคี"
2553 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ "คิดสร้างสรรค์ ขยันใผ่รู้ เชิดชูคุณธรรม"
2554 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ "รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ"
2555 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร "สามัคคี มีความรู้ คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี"
2556 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร "รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน"
2557 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร "กตัญญูรู้หน้าที่เป็นเด็กดีมีวินัยสร้างไทยให้มั่นคง"
2558 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  "ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต"
2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา "เด็กดี หมั่นเพียร เรียนรู้ สู่อนาคต
2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา "เด็กไทยใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง"
2561 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา "รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี"
2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  "เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย"
2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา "เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย”
2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา "เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม"
2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา " รู้คิด รอบคอบ รับผิดชอบต่อสังคม"
2566 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา "รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่ความดี"
2567 นายเศรษฐา ทวีสิน "มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย"

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิธีการสร้างตารางนับเหรียญ

วิธีการสร้างตารางนับเหรียญ ด้วยโปรแกรม Excel


1.  สร้างตารางตามจำนวนกีฬาและจำนวนสี ดังภาพ


2. สร้างตารางการนับเหรียญ ดังภาพ
.      

3. พิมพ์สูตรนับเหรียญ ในช่องของเหรียญแต่ละชนิด  โดยกำหนด            1= ทอง  2=เงิน  3=ทองแดง
3.       

ช่อง       สีเขียว-ทอง  พิมพ์ ว่า =COUNTIF(C3:L3,"1")
              สีม่วง-ทอง   พิมพ์ ว่า =COUNTIF(C4:L4,"1")
              สีฟ้า–ทอง    พิมพ์ ว่า =COUNTIF(C5:L5,"1")

ช่อง       สีเขียว-เงิน  พิมพ์ ว่า =COUNTIF(C3:L3,"2")
              สีม่วง-เงิน   พิมพ์ ว่า =COUNTIF(C4:L4,"2")
              สีฟ้า–เงิน    พิมพ์ ว่า =COUNTIF(C5:L5,"2")

ช่อง       สีเขียว-ทองแดง  พิมพ์ ว่า =COUNTIF(C3:L3,"3")
              สีม่วง-ทองแดง   พิมพ์ ว่า =COUNTIF(C4:L4,"3")
              สีฟ้า–ทองแดง    พิมพ์ ว่า =COUNTIF(C5:L5,"3")

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ ของ Whatsapp เรื่องราวที่พลิกผันราวกับละครไทย

วันนี้ 7 ตุลาคม  2557  Facebook เข้าครองกิจการ Whatsapp มูลค่ากว่า 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เรามาดูกันว่า Whatsapp มาจากไหนอย่างไร

ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทแอพส์ เรื่องราวที่พลิกผันราวกับละครไทย
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ
ข่าวการเข้าซื้อกิจการ Whatsapp โดย Facebook สร้างความสนใจไปทั่วโลกด้วยราคาการซื้อกิจการที่สูงมากถึง 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ  Whatsapp ที่เป็น App ที่เกิดขึ้นมาหลังจากที่ BlackBerry ก้าวขึ้นมาสร้างความโดดเด่นในตลาด Smartphone ด้วยความสามารถทางการส่งข้อความแบบไม่ต้องเสียค่า SMS ด้วยการใช้ระบบ Messaging ของตัวเอง ซึ่งหากใครอยากได้รับประโยชน์ด้าน Messaging ที่ไม่ต้องเสียเงินแบบนี้ ต้องเข้ามาอยู่ในระบบของ BlackBerry เท่านั้น
แต่ จุดเด่นที่สร้าง BlackBerry ขึ้นมากลับเป็นสิ่งจูงใจให้เกิดความพยายามในการทำให้ระบบ Messaging ที่ไม่ต้องเสียเงินค่า SMS นี้สามารถใช้พูดคุยกันข้ามระบบไปสู่ OS อื่นๆเช่น iOS ของ Apple และ Android ของ Google ให้ได้ และเจ้า App ที่ชื่อ Whatsapp นี่แหละที่สร้างความเปลี่ยนแปลงนี้จนเป็นปัจจัยหนึ่งของความเสื่อมถอยของ BlackBerry เลยก็ว่าได้
วันนี้เรามาดูกันดีกว่าครับว่า  WhatsApp มีประวัติ ที่มา อย่างไรที่เข้ามาเป็นตัวพลิกผันวงการ SmartPhone ได้ทั่วโลก
whatsapp-Co-founders
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ
WhatsApp เป็น App ด้าน Messaging ที่เกิดขึ้นมาเพื่อการส่งข้อความข้าม OS กันได้แบบไม่ต้องเสียค่า SMS เป็นไอเดียของหนุ่มอเมริกันที่ชื่อ Brian Acton (คนซ้าย) กับ หนุ่มชาวยูเครน ที่ชื่อ Jan Koum (คนขวา) โดย Jan Koum เป็นชาวยูเครนที่อพยพมาอยู่ที่ California กับแม่ของเขา ความเป็นอยู่ของ Jan Koum ในช่วงแรกนับได้ว่าแร้นแค้นเลยทีเดียว อาศัยประทังชีวิตด้วยแสตมป์อาหารที่ทางรัฐบาลจัดให้กับคนที่ไม่มีรายได้เพียงพอ
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ Jan Koum CEO
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ Jan Koum CEO
Jan Koum เริ่มทำงานที่แรกในปี 1997 ที่ Yahoo อันเป็นที่ที่เค้าได้ทำงานร่วมกับ Brian Acton ทั้งคู่ทำงานด้วยกันมาเป็นเวลา 10 ปี จนในปี 2007 พวกเค้าก็ลาออกจาก Yahoo และพักผ่อนไม่ได้ทำงานเป็นเวลา 1 ปี ต่อมาในปี 2009 พวกเค้าทั้งสองคนก็เกิดอยากทำงานอีกครั้งจึงไปสมัครงานที่ Facebook แต่ Facebook ไม่รับพวกเค้าเข้าทำงานครับ ไม่น่าเชื่อว่าอีกเพียง 5 ปีต่อมา Facebook ต้องจ่ายเงินถึง 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อที่จะได้ครอบครองสิ่งที่ Brian Acton และ Jan Koum คิดค้นขึ้นมา (รู้งี้ จ้างดีกว่าไหม)
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ Brain Acton Co Founder
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ Brain Acton Co Founder
ในปี 2009 นั้นเอง Brian Acton และ Jan Koum ได้ซื้อ iPhone มาใช้ (เดาเอาเองว่า เขาประสพปัญหาการส่งข้อความไปยัง BlackBerry) พวกเขาเกิดไอเดียขึ้นมาทันทีว่า  iPhone ที่มีระบบ App Store นี่แหละที่จะเป็นตัวเปลี่ยนอุตสาหกรรมซอฟแวร์และ พวก iPhone นี่แหละที่น่าจะต้องการใช้ระบบอะไรสักอย่างที่จะสามารถทำให้พวกเค้าติดต่อกับผู้ที่ใช้ BlackBerry ได้ พวกเขาใช้เวลาคิดอยู่ไม่นานและชื่อ WhatsApp ก็เกิดขึ้นโดย Jan Koum นี่แหละที่เป็นผู้เลือกชื่อ เพราะมันฟังดูเหมือน What’s Up ดี
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ: 4 Years Growth Comparison
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ: 4 Years Growth Comparison
เขามีการเอาอัตราการเจริญเติบโตของลูกค้ามาเปรียบเทียบกันครับ สมมติว่า WhatsApp Facebook Gmail Twitter Skype ต่างๆเหล่านี้มาเทียบกันว่า หลังจากที่แต่ละบริษัทเกิดมา 4 ปี (แม้จะเกิดไม่พร้อมกัน) ใครจะมีลูกค้ามากกว่ากัน เขาพบว่า WhatsApp เป็นธุรกิจที่มีลูกค้าเข้ามาอยู่ในมือมากที่สุดถึง 41 ล้านคน ในขณะที่ 4 ปีแรก Facebook ยังแค่มีสมาชิกเพียง 145 ล้านคนเท่านั้น   และล่าสุด WhatsApp ก็มีลูกค้าถึง 450 ล้านคนไปแล้ว
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาถึงแม้ Facebook จะมีสมาชิกมากกว่า WhatsApp อย่างมากมาย แต่ Facebook ที่ออกระบบ Facebook Messaginge ก็ไม่สามารถทำให้สมาชิกหันมาใช้บริการการส่งข้อความกันแบบ Messaging ได้เท่า WhatsApp ดังนั้นเพื่อเป็นการขยายธุรกิจและต่อยอด Facebook จึงไม่เสียเวลาสู้รบปรบมือกับ WhatsApp ให้เสียเวลา เขาเลยซื้อซะเลย ง่ายดี
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ: Market Share of Messaging App
ประวัติ ที่มา ของ Whatsapp วอทส์แอพ: Market Share of Messaging App
บล็อกนี้ก็เลยขอจบด้วยการสรุปว่า ความพลิกผันของชีวิต และ ธุรกิจ ช่างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้โดยง่ายเสียเหลือเกิน จากคนที่แทบไม่มีอะไรจะกิน มาทำงาน ไปสมัครงานเขาก็ไม่รับ เลยทำธุรกิจเสียเอง จนประสพความสำเร็จและก็ได้รับเกียรติจากบริษัทที่เคยปฏิเสธการรับเข้าทำงาน มาซื้อกิจการในราคาที่สูงลิ่ว และ กลายเป็นอภิมหาเศรษฐีคนนึงของ Silicon Valley กันไปเลย
ชีวิตนี่มันต้องสู้อย่างเดียวจริงๆเลยนะครับ ต้องสู้ ต้องสู้ถึงจะชนะ เพลงเค้าร้องไว้
ข้อมูลจาก
http://www.trachoo.com/2014/02/21/how-whatsapp-created-and-bought-by-facebook/

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หมูปิ้งนมสด

วิธีทำหมูปิ้งนมสด สูตรหมูปิ้งนมสด
เครื่องปรุง
เนื้อหมู เอาติดมันก็ได้ หรือ เนื้อสันก็ดี 1 กิโลกรัม / ซีอิ้วดำ 1/2-1 ชต. / นมข้นจืด 3-4 ชต. หรือนมสด 1 ถ้วย / น้ำตาลปิ้บ 1/2 ถ้วย / น้ำตาลทรายนิดๆ / น้ำมันหอย นิดหน่อย / ซีอิ้วขาวเห็ดหอม 2-3 ชต / กระเทียม รากผักชี พริกไทย 2 ชต. / น้ำมันมะกอก 2-3 ชต. / (ชต หมายถึง ช้อนโต๊ะ)
ผสมกันเสร็จชิมดูก่อนว่ารสออกมาแบบไหน ถ้าชอบหวานชอบเค็มก็เต็มเพิ่มลงไป
วิธีทำ
ล้างหมูให้สะอาดแล้วแล่อย่าบางมาก แล้วนำไปคลุกเคล้ากับส่วนผสมแล้ว นำไปแช่ในตู้เย็นสัก 1-2 วัน ค่อยนำออกมาเสียบไม้ปิ้ง หรือเจ้าของสูตรเดิมเขาเสียบไม้ไว้เลยแล้วแช่ฟิต 3 วัน ค่อยเอาออกมาปิ้ง แช่ฟิตจะทำให้หมูนุ่มมาก ๆ ครับ
ตอนปิ้งหมู น้ำปรุงที่เหลืออย่าทิ้งให้นำน้ำกะทิมาผสม ขณะที่กำลังปิ้งก็ใช้น้ำปรุงนี้ทาลงไปที่หมูกำลังปิ้งเพื่อให้หยดลงไปถ่าน กำลังร้อน ๆ จะได้มีควันหอม ๆ รมหมูด้วย
- ถ้าจะให้สุดยอดยิ่งขึ้นควรจะใส่ซอสหอยนางรมไปบ้างเล็กน้อย ควรใช้ซอสหอยอย่างราคาไม่แพงเพราะว่ามีแป้งผสมอยู่บ้างแล้ว เหยาะผงกระหรี่พอเห็นด้วยหางตา เวลาปิ้งควรพรมน้ำหมักไปด้วยเล็กน้อยจะทำให้เกิดควันและกลิ่นซึ่งเป็นหัวใจ ของการขาย แต่อย่าให้ถึงขนาดมองหน้ากันไม่รู้เรื่อง ปิ้งกะว่าเกือบสุก เมื่อมีลูกค้าจีงค่อยปิ้งตอนจบ จะทำให้หมูปิ้งของคุณไม่แห้ง อวบอูมอิ่มเอิบน่ารับประทาน ใส่ถุงพลาสติกมัดให้แน่น ย้ำลูกค้าว่าอย่าเปิดจนกว่าจะทาน
- โขลกรากผักชี กระเทียม พริกไทย ( 3 อย่างนี้อย่าขี้เหนียวนะเพราะจะทำให้หอมมากครับ) หมักทิ้งไว้ไม่น้อยกว่า 2 ชม.เพื่อให้เครื่องปรุงซึมเข้าถึงเนื้อ แต่ถ้าคุณต้องการทำขายควรหมักทิ้งไว้ข้ามคืน
- ปกติจะหมักหมูที่หั่นแล้ว การหั่นมีหั่นสองแบบ แบบแรกคือใช้หมูสันนอกเนื้อจะแข็งไม่มีมัน แล่เป็นแผ่นเลยกับอีกแบบคือ ใช้หมูสันใน เนื้อจะแดงๆ ไม่เป็นแผ่นๆ มันแทรกนิดหน่อย หั่นชิ้นเล็กๆ ยาวๆ ไม่ต้องหนา
- เวลาหั่นเลือกหั่นตามขวาง ลายเส้นของหมู จะกัดง่ายขึ้น เวลาซื้อนี่เลือกติดมันหน่อยหนึ่ง
- การทำให้หมูนุ่มหลัก ๆ มี 4 สูตรครับ คือ
1. สูตรหมูนุ่มสูตรแรก ใส้แป้งมันหมักกะหมู ผลที่ได้ จะได้เนื้อนุ่มแบบ ดึ๊ง ๆ เหมือน หมู ใน ราดหน้า ร้านดัง ๆ
2. สูตรที่สอง หมักหมูกะ มะละกอดิบครับ ขยำ ๆ ทิ้งไว้ สองชั่วโมง นิด ๆ เนื้อหมูที่ได้ จะ นุ่ม แบบ ยวบ ๆ ประมาณว่าแค่เอามีดลูบ ๆ ก้อขาด (อย่าหมักนานมากนะ เดี่ยว จะเละซะก่อน)
3.สูตรหมูนุ่มสูตรสาม คือ ใส่ Baking Soda แต่แหวะ ไม่อร่อยเท่าไหร่ มันจะนุ่มแบบไม่นุ่ม (งงปะ) แต่ตลาดทั่วไปชอบใช้สูตรนี้ เพราะมันประหยัดต้นทุนครับ
4. สูตรหมูนุ่มสูตรสี่ คือ ขยำมะม่วงหวานลงไป ในขั้นตอนสุดท้ายอย่ามาก แค่เอาสีกับกลิ่น สูตรนี้จะทำให้หมูของคุณแดงแบบส้ม ๆ ไม่เหมือนใช้มะละกอ และจะออกหวาน ๆ มัน ๆ แทนกลิ่นซี้อิ๊ว แต่ผมว่าแรก ๆ จะอร่อยนะ แต่นาน ๆ ไปมันจะไม่อร่อย เพราะมันจะติดลิ้นว่าหวาน แต่สูตรนี้กินกับน้ำจิ้มแจ่วอร่อยเหาะไปเลยครับ เพราะมันจะไปตัดกับเค็มของน้ำจิ้มแจ่ว ออกหวานแบบอร่อย ๆ
สุดท้าย ท้ายสุด
เนื้อหมูที่ใช้ ควรเป็นเนื้อสันส่วนขาหลัง ติดมันนิดหน่อย ถ้าเนื้อหมูที่ซื้อมาติดมันมากเกินไปก็ให้แล่เอามันออกทิ้งไปบ้าง 
เวลาแล่เนื้อหมูก็ต้องพยายามแล่ให้ได้ขนาดเสมอกันเพื่อความสวยงาม เวลาเสียบก็ต้องเสียบเนื้อหมูตามขวาง เนื้อหมูจะได้ดูหนา เวลากินจะไม่เหนียว และที่สำคัญจะต้องหมักหมูทิ้งไว้ในช่องฟรีซสัก 2 -3 วันถึงจะดี เวลาจะนำมาปิ้งก็เอาออกมาจากช่องฟรีซ แล้วทิ้งให้น้ำแข็งละลายก่อน เครื่องจะเข้าเนื้อและนุ่ม ถ้าหมักแล้วย่างเลยจะไม่อร่อย เวลาปิ้งจะไม่สวย เนื้อหมูก็จะติดตะแกรงด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก  Payutthapong Jakavaro

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544

เหตุวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 หรือ 9/11 เป็นปฏิบัติการก่อการร้ายที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยการการโจมตีพลีชีพที่ประสานกันสี่ครั้งต่อสหรัฐอเมริกา ในนครนิวยอร์กและพื้นที่วอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 เช้าวันนั้น ผู้ก่อการร้าย 19 คนจากกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงอัลกออิดะฮ์ จี้อากาศยานโดยสารสี่ลำ โจรจี้เครื่องบินนั้นนำเครื่องบินทั้งสองพุ่งชนกับ ตึกแฝด เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์กโดยเจตนา และอาคารทั้งสองถล่มลงภายในสองชั่วโมง โจรจี้เครื่องบินชนเครื่องบินลำที่สามกับอาคารเพนตากอนในอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนียส่วนเครื่องบินลำที่สี่ ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 ตกในทุ่งใกล้กับแชงค์วิลล์ รัฐเพนซิลเวเนีย ก่อนจะถึงเป้าหมายที่โจรจี้เครื่องบินต้องการพุ่งชนอาคารรัฐสภาสหรัฐ ในวอชิงตัน ดี.ซี. หลังผู้โดยสารพยายามยึดเครื่องกลับคืน มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คนในเหตุโจมตีดังกล่าว และไม่มีผู้รอดชีวิตจากเครื่องบินทั้งสี่ลำ
มีการพุ่งเป้าสงสัยไปที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์อย่างรวดเร็ว อุซามะฮ์ บิน ลาดิน ผู้นำกลุ่ม ซึ่งได้ปฏิเสธความเกี่ยวข้องในตอนแรก สุดท้ายได้อ้างความรับผิดชอบเหตุวินาศกรรมดังกล่าวใน พ.ศ. 2547 อัลกออิดดะห์และบิน ลาดิน อ้างเหตุผลจูงใจในการก่อเหตุ ว่า การสนับสนุนอิสราเอลของสหรัฐอเมริกา การคงทหารสหรัฐประจำการไว้ในซาอุดิอาระเบีย และการลงโทษต่ออิรัก สหรัฐอเมริกาดำเนินมาตรการตอบโต้เหตุวินาศกรรมโดยการเริ่มสงครามต่อต้านการก่อการร้าย (War on Terror), การรุกรานอัฟกานิสถานเพื่อขับรัฐบาลตอลิบัน ซึ่งให้ที่พักพิงแก่สมาชิกอัลกออิดะฮ์ หลายประเทศเพิ่มกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายและขยายอำนาจการบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 หลังลอยนวลมาได้นานหลายปี บิน ลาเดนถูกพบและถูกสังหาร
เหตุวินาศกรรมทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อเศรษฐกิจของแมนฮัตตันล่าง การทำความสะอาดเขตเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์แล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2545 พิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์ 11 กันยายนแห่งชาติมีกำหนดเปิดในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554 ที่ติดกับอนุสรณ์ วันเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ซึ่งมีความสูง 541 เมตร ประเมินไว้ว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน พ.ศ. 2556 เพนตากอนซ่อมแซมภายในเวลาหนึ่งปี และมีการเปิดอนุสรณ์เพนตากอน ติดกับตัวอาคาร ใน พ.ศ. 2551 มีการจัดตั้งอนุสรณ์แห่งชาติเที่ยวบินที่ 93 ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 และอนุสรณ์ดังกล่าวก่อสร้างเสร็จอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554.
   

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ครูประจำชั้นและครูผู้สอนมืออาชีพ

   การพัฒนาครูประจำชั้นและครูผู้สอนมืออาชีพ โดย ดร.สุพักตร์  พิบูลย์

   วันที่ 18 สิงหาคม 2557 ผมได้ไปเป็นวิทยากรบรรยายให้กับครูบรรจุใหม่ สพม.2  จำนวน 300 กว่าคน ณ ภูเขางาม รีสอร์ท จังหวัดนครนายก  ในการนี้ได้เสวนาเรื่อง "การเดินทางบนเส้นทางวิชาชีพครู" โดยมีสาระสำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้

1. อาชีพครู เป็นอาชีพแห่งการทำงานหนัก ที่มีโอกาสสร้างและทำลายคนสูงมาก...มีโอกาสสร้างบาปแบบสะสมไมล์  พอๆ กับการทำบุญแบบสะสมไมล์  ถ้าเราพลาดและไม่ระวังจะทำร้ายเด็กได้ตลอดชีวิต....(ได้เน้นสร้างความตระหนักร่วมกันในเรื่องนี้)

2. ให้ปรัชญาการดำเนินชีวิตที่สำคัญ 3 ประการที่ตนเองใช้เป็นหลักยึดถือตลอดมาคือ 
    (1) การเป็นนักอ่าน....การอ่าน ทำให้ชีวิตเปลี่ยน  
    (2) การกำหนดเป้าหมายชีวิต/เป้าหมายความสำเร็จที่ชัดเจน ตลอดช่วงชีวิตการเป็นครู...การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน จะเพิ่มโอกาสความสำเร็จในชีวิต  
    (3) การมีค่านิยมในการทำงานหนัก เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ...การทำงานหนักโดยไม่เครียด จะสามารถสร้างความสำเร็จในชีวิตได้อย่างแน่นอน

3. ได้ให้ข้อคิด เรื่อง การพัฒนางานอย่างเป็นระบบ บนเส้นทางวิชาชีพ พร้อมจัดทำ electronic portfolio  ให้พร้อมสำหรับการประเมินเพื่อก้าวสู่ตำแหน่งครู คศ.1  และในระดับวิทยฐานะที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ในโอกาสต่อๆไป(เสนอให้จัดหมวดหมู่หลักฐาน 6 หมวด)

4. เสนอแนะให้ตั้งชมรมครูประจำรุ่นนี้  โดยควรแต่งตั้งประธานชมรมรุ่น  และ ประธานประจำสาขาวิชา 8 คน(8 สาระการเรียนรู้) เพื่อให้ครูกลุ่มนี้ สามารถชี้นำตนเองในอนาคต(Self-Directing) 

5. ขอให้ผู้เข้ารับการอบรม หรือครูใหม่ ยึดถือแนวปฏิบัติ หรือสัญญา(MOU) ดังต่อไปนี้

   5.1 ให้ยึดถือหลักว่านักเรียนตรงหน้าของเรา สำคัญที่สุด  : นักเรียนห้องประจำชั้นและห้องที่เราสอนในปัจจุบัน สำคัญที่สุด จะต้องดูแลพวกเขาให้เกิดการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ  จะไม่ยอมให้เกิดการตกหล่น แม้แต่คนเดียว( no child left behind )...ในอนาคต เราอาจจะย้ายกลับภูมิลำเนาเดิมหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  แต่ในวันนี้ เราจะดูแลเด็กตรงหน้าให้ดีที่สุด

   5.2 จะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมในการจัดการเรียนรู้ อย่างน้อยภาคเรียนละ 1 รายการสำคัญ  หรือ 2 รายการต่อปี...เมื่อเราขอย้าย(กลับภูมิลำเนา) เราจะต้องแนบผลงานการพัฒนานวัตกรรม และรายงานผลงานการพัฒนาเด็ก อย่างเป็นรูปธรรม(โดยเฉพาะ รายงานการพัฒนานักเรียนห้องประจำชั้น)

   5.3 จะมุ่งมั่นพัฒนางาน/พัฒนาตนเอง เพื่อก้าวขึ้นสู่วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และเชี่ยวชาญ ในปีที่ 9(9-12)  และ 14(14-16) ตามลำดับ  และจะต้องสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง หลังจากขึ้นสู่วิทยฐานะ ในฐานะครูแกนนำ

   5.4 จะมุ่งมั่นปฏิบัติตนตามมาตรฐานครูประจำชั้นที่ดี และมาตรฐานครูผู้สอนที่ดีอย่างเคร่งครัด เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีพัฒนาการเต็มตามศักยภาพ(ยังไม่มีเวลาได้ชี้แนะรายละเอียดมาตรฐานการปฏิบัติงานในบทบาทครูผู้สอน และบทบาทครูประจำชั้น จากกรณีศึกษา มาตรฐานกุหลาบหลวงของเครือข่ายสวนกุหลาบวิทยาลัย)

   5.5 จะร่วมมือ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนร่วมรุ่น 300 คน อย่างต่อเนื่อง(PLC)  ถือเป็นเครือข่ายในการร่วมพัฒนาการศึกษาของเขตพื้นที่ เพื่อสร้างต้บแบบการพัฒนางาน  โดยจะมีการพบปะ สัมมนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งสำคัญ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง(ได้เสนอแนะให้จัดประชุมปีละ 2 ครั้ง และจัดทำห้องสัมมนาออนไลน์เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อย่างต่อเนื่อง)

   จากข้อมูล พบว่า ครูบรรจุใหม่ สพม.2 รุ่นนี้ เป็นคนเก่ง จบปริญญาตรีเกียรตินิยม จำนวนมาก การบรรยายและชี้แนะในวันนี้ น่าจะสามารถจุดประกายความมุ่งมั่นในการพัฒนาตน-พัฒนางาน ให้กับกลุ่มครูบรรจุใหม่ได้เป็นอย่างดี.....แล้วผมจะติดตาม ส่งเสริมครูใหม่ รุ่น 2557 ของ สพม.2 อย่างต่อเนื่อง...ผมเชื่อว่า พวกเขาจะเป็นครูที่ดี ที่จะสามารถทดแทนครูรุ่นพี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในอนาคต อย่างแน่นอน น่าจะร่วมกันนำ สพม.2 สู่การเป็นสพม.ชั้นเลิศได้

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ไวรัสอีโบลา เจ้ามาแต่หนใด?

      โรคไข้อีโบลา คือโรคไข้เลือดออกจากไวรัสอีโบลา ซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก อุบัติใหม่ในแอฟริกาเมื่อปี 2519 ขณะที่โรคไข้เลือดออกในเกาหลีเกิดจากไวรัสฮันตาน ส่วนโรคไข้เลือดออกในไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ศรีลังกา ปากีสถาน ฯลฯ เกิดจากไวรัสเด็งกี
      
       การระบาดครั้งแรกของไวรัสอีโบลา
      
       เมื่อปี 2519 มีการระบาดเป็นครั้งแรกของโรคไข้เลือดออกชนิดใหม่ที่อุบัติใหม่อีกชนิดหนึ่งเกิดขึ้นที่ประเทศซูดานและประเทศซาอีร์ ชื่อ "อีโบลา" ชื่อนี้ได้มาจากชื่อแม่น้ำอยู่ตรงบริเวณที่พบโรคในตอนเริ่มแรกคือ ที่แถบลุ่มแม่น้ำอีโบลา ในประเทศซาอีร์ ก็เลยตั้งชื่อโรคและชื่อของไวรัสตัวก่อเหตุตามชื่อแม่น้ำดังกล่าว
      
       ผู้ป่วยดรรชนี (Index case) รายแรกของโลก 26 สิงหาคม 2519 ที่ประเทศ ซาอีร์ แอฟริกา
      
       ผู้ป่วยรายแรกซึ่งถือว่าเป็นผู้ป่วยดรรชนีเป็นชายอายุ 44 ปีเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนมิชชันนารี ไปขอรับการรักษาที่ “โรงพยาบาลมิชชั่นนารียัมบูกุ” ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 120 เตียง เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2519 ด้วยอาการไข้ซึ่งคิดว่าเป็นไข้จับสั่น (มาลาเรีย) และได้รับการรักษาโดยการฉีดคลอโรควิน ซึ่งมีอาการทุเลาขึ้น
      
       ในเวลาต่อมาภายใน 1 สัปดาห์มีคนไข้ในโรงพยาบาลได้รับการฉีดยาโดยใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนไข้รายดรรชนีให้หลับ (ปกติเราจะไม่ใช้เข็มฉีดยาที่ยังไม่ได้ฆ่าเชื้อร่วมกัน) หลังจากนั้นก็ป่วยเป็นไข้เลือดออกอีกหลายคน บางรายไม่ได้รับการฉีดยาแต่เป็นผู้ที่ไปสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะป่วยอยู่ระหว่าง 4 สัปดาห์แรกของการระบาดหลังจากนั้นโรงพยาบาลจึงได้ปิดการให้บริการเนื่องจากแพทย์ 11 นาย จาก 17 นาย ที่ปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้ป่วยและตาย
      
       โรคนี้แพร่โรคติดต่อกันได้จากการสัมผัสกันด้วย เรียกว่ามีการแพร่ติดต่อ จากคน-สู่-คน 
      
       ผู้ป่วยเกิดขึ้นทุกกลุ่มอายุและทั้งสองเพศ แต่สตรีอายุระหว่าง 15-29 ปี จะเป็นกลุ่มที่มีความชุก อัตราป่วยชุกกว่ากลุ่มอื่น
      
       สรุปได้ว่าการแพร่เชื้อจากผู้ป่วยเกิดจากการถูกเข็มแทงและของมีคมปนเปื้อนเชื้อทำให้เกิดบาดแผลและการแต่งศพ และแพร่โรคติดต่อจาก ผู้ป่วย-สู่-ผู้ป่วย จากการสัมผัสใกล้ชิดได้ด้วย อย่าลืมว่า โรคไข้เลือดออกเด็งกีที่พบในบ้านเรา แพร่ติดต่อได้ เฉพาะโดนยุงลายบ้านที่มีเชื้อกัดเท่านั้น
      
       ประมาณ 5 สัปดาห์ภายหลังการระบาดครั้งแรกที่ยัมบูกุประเทศซาอีร์ นพ.ซูโร ได้ศึกษาลักษณะทางเวชกรรมของผู้ป่วย 14 ราย ดังนี้
      
       ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ปวดท้อง เจ็บคอ หน้าตาไร้ความรู้สึก มีอาการอ่อนเพลียอย่างมาก ในบางรายประมาณวันที่ 5 ของระยะเฉียบพลันของโรค จะมีผื่นขึ้นตามตัวและมีเลือดออกด้วย มีเลือดออกที่เยื่อบุตา มีแผลตามริมฝีปากและในช่องปาก มีเลือดออกจากแผลดังกล่าว และ ออกจากเหงือก อาเจียนเป็นเลือด และ ถ่ายอุจจาระดำเลือด กำเดาไหล มีเลือดออกจากช่องหู ปัสสาวะเป็นเลือด และ บางรายมีอาการตกเลือดหลังคลอดด้วย ในรายที่มีเลือดออกมักจะถึงแก่กรรมภายใน 3 สัปดาห์ผู้ป่วยในระยะหลังของการระบาด อาการเลือดออกจะมีความรุนแรงน้อยลงกว่ารายแรกๆ ของการระบาด ในรายที่มีเลือดออกไม่รุนแรง หรือไม่มีเลือดออกเลย มักจะไม่ถึงแก่กรรม แต่ก็ไม่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ว่ามีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือดหรือไม่ เนื่องจากเป็นการฉุกเฉิน และเป็นการศึกษาในสนาม อุปกรณ์ในการศึกษาวิจัยไม่ได้มีครบครัน
      
       จากการสำรวจทุกบ้านพบว่ามีโรคระบาดอยู่ 55 ตำบล (ทั้งหมดมี 550 ตำบล) โรคนี้ไม่เคยเป็นที่รู้จักของชาวบ้านมาก่อนเลย
      
       ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น ก็สามารถแยกเชื้อไวรัสที่มีรูปร่างคล้ายไวรัสมาร์บวร์กแต่ก็แสดงความแตกต่างกันได้อย่างชัดเจน โดยปฏิกิริยาน้ำเหลือง
      
       ไวรัสที่พบใหม่นี้ จึงได้รับการขนานนามว่า “ไวรัสอีโบลา (Ebola virus)” ตามชื่อแม่น้ำที่อยู่ในถิ่นที่มีการระบาด และ แยกเชื้อไวรัสได้ การแยกเชื้อไวรัสแยกได้จากเลือดของผู้ป่วย 8 รายจาก 10 รายโดยเพาะในเซลล์เพาะพันธุ์เวโร ไวรัสนี้จึงเรียกว่าไวรัสอีโบลาสายพันธุ์ซาอีร์หรือ Ebola-Z
ไวรัสอีโบลา เจ้ามาแต่หนใด?
ภาพจุลทรรศน์อิเล็กตรอนของไวรัส อีโบล่า รูปพรรณเป็นเส้นด้าย (จาก utmb.edu)
       จากการที่เพาะแยกไวรัสได้ต่างสายพันธุ์กัน ทำให้แน่ใจได้ว่า การระบาดในประเทศซูดานและในประเทศซาอีร์นั้น ย่อมมิใช่การแพร่ของโรคจากประเทศแรกเข้าไปยังประเทศหลัง ต่างคนต่างเกิด
      
       การระบาดของโรคลดความรุนแรงลงเมื่อมีการหยุดการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน (กระบอกฉีดยาและเข็มขาดแคลนจึงมีการนำไปใช้ร่วมกันหลายคนหลายครั้ง) และยังมีมาตรการแยกกักกันผู้ป่วยมิให้ออกนอกหมู่บ้านการใช้อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้ออย่างมิดชิดและถูกต้องของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล การกำจัดวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อที่ถูกวิธี ก็ทำให้สามารถป้องกันการติดเชื้อและการแพร่เชื้อต่อไปอีกได้ การติดต่อส่วนใหญ่จะติดต่อจากเลือด การติดจากละอองฝอยของน้ำมูกน้ำลายอาจเกิดขึ้นได้แต่มีโอกาสน้อยกว่า และไม่ติดกันโดยทางอากาศหายใจ (air-borne)ไม่สามารถแยกไวรัสได้จากแมลง เช่น ตัวเรือด (Cimexhemipterus F.) ยุงคิวเล็กซ์และยุงแมนโซเนีย ซีรัมของสัตว์ต่างๆที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เช่น สุกร โค ค้างคาว หนู กระรอกลิงไม่พบว่ามีแอนติบอดีต่อไวรัสอีโบลา (หมายความว่าไม่มีการติดเชื้อ) แต่อย่างใด จึงหาแหล่งรังเก็บเชื้อโรคในธรรมชาติไม่ได้ หรือแหล่งรังโรค อยู่ใหนยังเป็นปริศนา
      
       การระบาดครั้งแรกในประเทศซูดานมีผู้ป่วย 284 คนโดยมีอัตราป่วย/ตายเท่ากับร้อยละ 53 เชื้อที่ก่อโรคเป็น ไวรัสเรียกชื่อจำเพาะมากขึ้นว่าอีโบลา-ซูดานหรือสายพันธุ์ซูดาน Ebola-S
      
       อีกไม่กี่เดือนต่อมาโรคก็อุบัติขึ้นที่เมืองยัมบูกุประเทศซาอีร์อีก เชื้อก่อโรคเคือสายพันธุ์ “อีโบลา-ซาอีร์” มีผู้ป่วยในการระบาดครั้งแรก 318 คนอัตราป่วย/ตายสูงกว่า การระบาดในซูดานคือสูงถึงร้อยละ 88 แม้ว่าจะมีการศึกษาค้นคว้าอย่างมากก็ยังพิสูจน์แหล่งรังโรคที่แน่ชัดไม่ได้อยู่ดี
      
       การระบาดของโรคไข้เลือดออกอีโบลารายงานจากประเทศไอวอรีโคสท์ในปี 2537 โดยมีสตรี นักชาติพันธุ์วิทยา ทำการผ่าตรวจซากลิงชิมแพนซีที่ล้มตายไม่ทราบสาเหตุที่ในป่าชื่อป่าตาย (Tai Forest) ในประเทศไอวอรีโคสท์ เธอจึงติดเชื้อโดยบังเอิญและป่วย สายพันธุ์นี้จึงให้ชื่อว่าอีโบลาโคทดีวัวร์ (ชื่อประเทศไอวอรีโคสท์ที่เป็นภาษาฝรั่งเศส)
      
       ในปี 2532 มีการระบาดของไวรัสอีโบลาในฝูงลิงแสมที่กักกันสัตว์ทดลองที่ไปจากต่างประเทศ ที่สถานีกักกันโรคเมืองเรสตัน รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เป็นลิงแสมที่ส่งไปจากฟาร์มเฟอร์ไลท์ ชานกรุงมะนิลา เป็นลิงที่เพาะไว้จำหน่ายเพื่อใช้เป็นสัตว์ทดลองที่ฟาร์มแห่งหนึ่งบนเกาะมินดาเนา ลิงจะถูกกักกันไว้ก่อนส่งต่อไปยังห้องปฏิบัติการต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่นำโรคจากป่ามาแพร่ในเมือง โดยเฉพาะแพร่สู่นักวิจัยเป็นเบื้องต้น
      
       ในระหว่างกักกันลิงได้ล้มเจ็บลงหลายตัวเกือบทั้งฝูง และมีอัตราตายสูง การสอบสวนและตรวจชันสูตรทางห้องปฏิบัติการพบว่าเป็น “ไวรัสอีโบลา” หากลิงติดเชื้อ โรคจะเกิดแก่ลิงที่มีความรุนแรงมาก อัตราตายสูง แม้ว่าจะก่อให้เกิดการติดเชื้อในมนุษย์ได้เหมือนกัน (พิสูจน์ได้จากการตรวจเลือดผู้สัมผัสใกล้ชิดเช่นผู้เลี้ยงและสัตวแพทย์ผู้ดูแลสุขภาพลิง) แต่กลับไม่ก่อโรคที่มีอาการป่วยดังเช่นสายพันธุ์ซาอีร์และสายพันธุ์ซูดานจึงเรียกชื่อสายพันธุ์ไม่นี้ ว่า “สายพันธุ์เรสตัน” Ebola-R
      
       นอกจากนั้นก็มีรายงานการระบาดของไวรัสอีโบลาสายพันธุ์เรสตันในลิงแสมที่สถานีกักกันสัตว์ในรัฐเท็กซัส และเป็นลิงแสมที่นำเข้าจากประเทศฟิลิปปินส์เช่นกัน อีโบลาเรสตันนี่เองที่พบว่าไประบาดอยู่ในสุกรฟิลิปปินส์เมื่อ 2-4 ปีก่อน เหมือนกัน ไวรัสอีโบลาข้ามจากลิงไปหาสุกรได้อย่างไร ก็ยังเป็นปริศนาคาใจกันอยู่
      
       ในปี 2557 เกิดมีการระบาดของอีโบล่า ในแอฟริกาตะวันตกขึ้นอีกจะขอเล่าโดยสังเขปดังนี้
      
       เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2557 องค์การอนามัยโลกได้รับแจ้งจากกระทรวงสาธารณสุข ประเทศกีนีว่ามีการระบาดของโรคไข้เลือดออกอีโบลาในเขตป่าทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ จนถึงวันที่ 25 มีนาคม มีรายงานผู้ป่วยแล้ว 86 ราย ตาย 60 ราย (อัตราป่วย/ตายเท่ากับ ๖๙.๗%) มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์-สาธารณสุขป่วยและตายด้วย 4 ราย และยังมีรายงานผู้ป่วยที่เข้าข่ายสงสัยในประเทศที่มีเขตแดนติดต่อกันอีกหลายรายที่กำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวน ชันสูตร ค้นคว้าอยู่อีกหลายราย คือ ในประเทศ ไลเบเรียและ เซียยร่า เลโอนโดยได้ส่งเลือดตัวอย่างไปชันสูตรโดยวิธีพีซีอาร์ที่หอชันสูตรโรคติดเชื้อระหว่างประเทศที่ เมืองลียอง ประเทศฝรั่งเศส ก็ยืนยันได้ชัดเจนว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาสายพันธุ์ ซาอีร์
ไวรัสอีโบลา เจ้ามาแต่หนใด?
       แผนที่ประเทศกินี ตรงสีทึบคือบริเวณที่โรคระบาด ที่รายงานเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่สีจางคืออยู่ในระหว่างการสอบสวนโรค
      
       โรคแพร่ระบาดต่อไปในประเทศกีนี และไปยังประเทศใกล้เคียงดังนี้
      
       สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัส Ebola วันที่ 17 เมษายน 2557 ในทวีปแอฟริกา ได้แก่:
      
       ประเทศ Guinea: มีรายงานผู้ป่วยที่มีอาการเข้าได้กับ Ebola virus Disease จำนวน 202 ราย เสียชีวิต 125 รายและผู้ป่วยยืนยัน 108 ราย
      
       ประเทศ Liberia: มีรายงานผู้ป่วย ที่มีอาการเข้าได้กับ Ebola Virus Disease จำนวน 27 ราย เสียชีวิต 13 รายและผู้ป่วยยืนยัน 6 ราย และ
      
       ประเทศ Mali: มีรายงานผู้ป่วยเข้าข่ายสงสัย 6 ราย ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ
      
       องค์การอนามัยโลก: ไม่แนะนำให้มีการจำกัดการเดินทางหรือการค้ากับประเทศกินี ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอน แต่อย่างใด
      
       องค์การอนามัยโลกรายงานเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2557 ว่า ผู้ป่วยอีโบลาในประเทศกินีเพิ่มขึ้นอีก รวมจำนวนสะสมได้ 208 ราย ตาย 136 ราย เป็นบุคลากรทางแพทย์และสาธารณสุข 25 ราย ตาย 16 ราย
      
       การประเมินความเสี่ยงของประเทศไทย: สำนักโรคอุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประเมินว่า การแพร่กระจายของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา อาจมาสู่ประเทศไทยได้ 2 วิธี ได้แก่ จากการนำเข้าสัตว์ที่ อาจเป็นแหล่งรังโรค เช่น สัตว์ป่า ลิงชิมแปนซี หรือการแพร่เชื้อของผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา จากประเทศนี้จะทำให้มีอาการป่วยโดยที่มีการระบาดโดยผ่านผู้เดินทาง เข้ามาประเทศไทยจากประเทศที่มีโรคกำลังระบาด
      
       โรคนี้ ยังไม่มียาหรือปฏิชีวนะรักษาที่จำเพาะ ต้องรักษาแบบประคับประคองและรักษาตามอาการ และยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค
      
       มาตรการกระทรวงสาธารณสุขประเทศไทย 
      
       1.ติดตามสถานการณ์ความคืบหน้า จากองค์การอนามัยโลกโดยสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
      
       2.สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศเฝ้าระวังผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือคนไทยที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค
      
       3.กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตรียมความพร้อมในการตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการ ทั้งนี้ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
      
       ประชาชนชาวไทย ยังไม่ต้องตระหนก เพียงแต่ให้ตระหนักให้รับรู้กันเอาไว้และติดตามข่าวเป็นระยะๆ นะครับ

วันสำคัญของไทย ที่เยาวชนควรรู้

     ในแต่ละปี ประเทศไทยเราจะมีวันสำคัญของชาติหลายวันด้วยกัน ทั้งที่เป็นวันสำคัญเกี่ยวกับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และวันสำคัญทางประเพณี ซึ่งในจำนวนวันเหล่านี้ รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นหยุดราชการ 16 วันด้วยกัน เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันมาฆบูชา วันจักรี วันสงกรานต์ และวันฉัตรมงคล เป็นต้น

       วันสำคัญ หมายถึง วันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญ ๆในอดีต และเพื่อเป็นการระลึกถึงความสำคัญของวันนั้น ๆ รัฐ - ชุมชน หรือหน่วยงานจึงได้จัดให้มีพิธีการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนหรือคนในสังคมได้ตระหนัก และระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในวันนั้นด้วยความภาคภูมิใจ หรือเพื่อเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติที่ดีงามสืบทอดต่อกันมา ซึ่งวันสำคัญนี้จะมีหลายระดับ เช่น ระดับบุคคล ได้แก่ วันเกิด วันแต่งงาน ระดับหน่วยงาน ได้แก่ วันสถาปนาของหน่วยงานนั้นๆ ระดับชาติ ได้แก่ วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันวิสาขบูชา และวันภาษาไทยแห่งชาติ เป็นต้น

       อนึ่ง เพื่อให้เยาวชนของเราได้รู้จักวันสำคัญของไทย กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอสรุปวันสำคัญ ๆ ที่ควรรู้จักในรอบปีให้ทราบดังนี้ 
    
วันสำคัญเกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์ไทย 

       1. วันยุทธหัตถี ตรงกับ วันที่ 18 มกราคม เป็นวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะต่อพระมหาอุปราชา เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2135 ยุทหัตถี หมายถึง การต่อสู้ด้วยอาวุธบนหลังช้าง เป็นการรบอย่างกษัตริย์สมัยโบราณ ถือป็นยอดยุทธวิธีของนักรบ เพราะเป็นการต่อสู้อย่างตัวต่อตัว กษัตริย์พระองค์ใดกระทำยุทธหัตถีชนะจะได้รับการยกย่องว่า มีพระเกียรติยศสูงสุด และแม้แต่ผู้แพ้ก็ได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นนักรบแท้เช่นกัน

       2. วันศิลปินแห่งชาติ ตรงกับ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ เป็นวันประกาศยกย่อง และเชิดชูเกียรติศิลปินชั้นครูของไทยที่ได้รับการคัด เลือกจากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติให้เป็น "ศิลปินแห่งชาติ" โดยยึดถือเอาวันคล้ายวันพระราชสมภพของรัชกาลที่ 2 "พระปฐมบรมศิลปินแห่งกรุงรัตนโกสินทร์" ผู้ทรงรอบรู้และเชี่ยวชาญในศิลปะทุกแขนงอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง เป็น "วันศิลปินแห่งชาติ"  

       3. วันพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า ตรงกับวันที่ 31 มีนาคม เป็นระลึกถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของรัชกาลที่ 3 ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในการทำนุบำรุงบ้านเมืองทั้งในด้านการศาสนา การศึกษาและอื่นๆอีกมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง ในสมัยของพระองค์ได้ทรงเก็บเงินบางส่วนใส่ "ถุงแดง" เอาไว้ ซึ่งต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงนำมาใช้เป็นค่าปรับในกรณีพิพาทกับประเทศฝรั่งเศส เมื่อ ร.ศ.112 ช่วยให้ประเทศไทยรอดพ้นวิกฤตการณ์ทางการเมืองและสงครามระหว่างประเทศไปได้

       4. วันจักรี ตรงกับวันที่ 6 เมษายน หมายถึง วันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ พระปฐมบรมราชวงศ์จักรี เสด็จกรีฑาทัพถึงพระนคร และทรงรับอัญเชิญขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติดำรงราชอาณาจักรสยามประเทศเป็นวัน แรก ตลอดพระชนมชีพของรัชกาลที่ 1 ต้องทรงออกศึกใหญ่เพื่อกอบกู้อิสรภาพถึง 11 ครั้ง โดยทรงเป็นแม่ทัพถึง 10 ครั้ง และทรงร่วมกับพระเจ้ากรุงธนบุรี 1 ครั้ง และเมื่อทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ยังต้องออกศึกเพื่อปกป้องอิสรภาพของชาติไทยอีกถึง 7 ครั้ง นับว่าพระองค์ทรงเป็นพระกษัตริย์ยอดนักรบที่ยิ่งใหญ่และเก่งกล้าสามารถยิ่ง

       5. วันฉัตรมงคล ตรงกับวันที่ 5 พฤษภาคม คือวันรำลึกถึงวันที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบันได้ทรงกระทำพิธีบรมราชาภิเษกเสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรีอย่างสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2491 และทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" (ซึ่ง ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 เมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบต่อจากพระบรมเชษฐาธิราชรัชกาลที่ 8 นั้น ยังไม่ได้ทรงกระทำพิธีบรมราชาภิเษก เนื่องจากต้องเสด็จกลับไปศึกษาต่อ)

       6. วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ตรงกับวันที่ 18 สิงหาคม เป็นวันเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง อันเป็นปรากฏการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงคำนวณทำนายไว้ก่อนล่วงหน้าถึง 2 ปีอย่างแม่นยำ และได้เสด็จฯไปทอดพระเนตรที่ ตำบลหว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์ในวันดังกล่าว เมื่อปี พ.ศ. 2411


30 วันสำคัญของไทย

       7. วันเยาวชนแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 20 กันยายน ด้วยถือว่าวันนี้เป็นวันที่เป็นสิริมงคลยิ่ง เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีถึง สองพระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ซึ่งทั้งสองพระองค์นอกจากจะทรงครองราชย์สมบัติตั้งแต่ทรงพระเยาว์แล้ว ยังทรงพระปรีชาสามารถยิ่ง สมควรที่เยาวชนไทยจะเจริญรอยตามเบื้องยุคลบาท

       8. วันปิยมหาราช ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย พระราชกรณียกิจของพระองค์ไม่ว่าจะเป็น การเลิกทาส การพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดิน การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสาธารณูปการ การเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ ฯลฯ ล้วนเป็นพื้นฐานแห่งความเจริญสืบต่อมาจนปัจจุบัน

       9. วันวชิราวุธ ตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายน เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาสามารถ ทรงได้รับพระราชสมัญญาว่า " สมเด็จพระมหาธีรราช เจ้า " เพราะทรงเป็นปราชญ์ทางอักษรศาสตร์ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวที่ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมประเภท ต่างๆ เป็นจำนวนมาก เท่าที่รวบรวมได้ในปัจจุบันมีถึง 1,236 เรื่อง นอกจากนั้นยังทรงบัญญัติศัพท์ และทรงตั้งนามสกุลพระราชทาน ซึ่งได้รวบรวมไว้ขณะนี้เป็นจำนวนประมาณ 6,432 นามสกุล

       10. วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตรงกับ วันที่ 5 ธันวาคม วันนี้ถือเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" และ "วันชาติไทย" ด้วย ตลอดระยะเวลายาวนานร่วม 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอุทิศพระวรกาย พระราชหฤทัย และพระสติปัญญาของพระองค์ บำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันยังประโยชน์สุขให้แก่ราษฎรของพระองค์มาโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากพระราชกรณียกิจที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วนนับพันโครงการ 

       11. วันรัฐธรรมนูญ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร เป็นฉบับแรกให้แก่ปวงชนชาวไทย เมื่อปีพ.ศ. 2475 ภายหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นระบอบ ประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ และมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด 

       12. วันพระเจ้าตากสินมหาราช ตรงกับวันที่ 28 ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันปราบดาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเป็นวีรกษัตริย์ไทยอีกพระองค์หนึ่งที่ได้รับการเทิดทูน และเคารพบูชาจากประชาชนชาวไทยมาโดยตลอด ไม่เพียงเพราะพระปรีชาสามารถในการรบที่กอบกู้ชาติไทยให้เป็นเอกราช และสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่บ้านเมืองของเราเท่านั้น แต่พระองค์ยังเป็นผู้นำที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มีความกตัญญู และเสียสละต่อผืนแผ่นดินไทยอย่างยากที่จะหาผู้ใดเสมือนเหมือนอีกด้วย




วันสำคัญหลัก ๆ ทางศาสนา จะประกอบด้วย 




       13. วันมาฆบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 เป็นวันที่พระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้จำนวน 1,250 รูปมาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย พระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ปัจจุบันเราถือว่าวันนี้เป็น "วันแห่งความรักทางพุทธศาสนา" ทั้งนี้ เนื่องจากวันดังกล่าวได้เกิดเหตุการณ์พิเศษที่เรียกว่า "จาตุรงคสันนิบาต" ขึ้น และเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประกาศหลักการและอุดมการณ์ แห่งพุทธศาสนา อันมีเนื้อหาหลัก ว่าด้วยการส่งเสริมให้มวลมนุษย์ตั้งมั่นในการทำความดี ละความชั่ว ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน นั่นก็คือ ทรงสอนให้ทุกคนมีความรักอันยิ่งใหญ่ เป็นรักที่ไม่เห็นแก่ตัว เพราะสอนให้รู้จักรัก และเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้นำพระธรรมคำสั่งสอนดังกล่าวไปเผยแพร่

       14. วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 เป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสิ่งที่สำคัญยิ่งในการบังเกิดพระพุทธเจ้าในโลกก็คือ "ธรรมะ" ที่พระองค์ทรงตรัสรู้ อันเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ทรงเปรียบเสมือนบรมครูผู้มาสอน มาชี้แนะแก่มวลมนุษย์ มิฉะนั้นคนเราก็คงไม่รู้จักหนทางแห่งการปฏิบัติธรรมเพื่อล่วงพ้นความทุกข์ เป็นแน่แท้ และวันวิสาขบูชา นี้องค์การสหประชาชาติได้มีมติรับรองให้ เป็นวันสำคัญสากล เมื่อปี พ.ศ.2542
     
       15. วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 เป็นวันที่มีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ครบเป็นองค์รัตนตรัยครั้งแรกในโลก ซึ่งพระสงฆ์องค์แรกคือ พระอัญญาโกณฑัญญะ และปฐมเทศนาที่ทรงแสดงคือ ธรรมจักกัปวัตนสูตร หมายถึง พระสูตรว่าด้วยการยังธรรมจักรให้เป็นไป นั่นคือ ธรรมะของพระพุทธองค์เหมือนวงล้อธรรมที่ได้เริ่มเคลื่อนแล้วจากจุดเริ่มต้นในวันนี้
     
       16. วันเข้าพรรษา เป็นวันเริ่มต้นที่พระภิกษุสงฆ์จะต้องอธิษฐานจำพรรษาอยู่กับที่ ไม่เที่ยวจาริกไปยังที่ต่าง ๆ เป็นเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ของทุกปี ซึ่งการให้จำพรรษาในสมัยพุทธกาล ก็เพื่อป้องกันมิให้พระสงฆ์ไปเหยียบย่ำข้าว และพืชผลของชาวบ้านเสียหาย ต่อมาถือเป็นโอกาสดีที่พระภิกษุจะได้มาอยู่ร่วมกันเพื่อศึกษาธรรมะ ส่วนชาวบ้านก็ได้เข้าวัดถวายทาน รักษาศีล ฟังธรรม และเจริญภาวนาเพื่อเพิ่มพูนบุญกุศลโดยมีพระภิกษุเป็นแบบอย่าง ครั้นต่อมาจึงเกิดประเพณีนิยมบวช 3 เดือน ขณะเดียวกัน ก็มีพุทธศาสนิกชนจำนวนหนึ่งนิยมถือเอาวันเข้าพรรษาเป็นวันเริ่ม ต้นที่จะอธิฐานจิตลด ละ ความชั่วทั้งหลาย และทำความดีเพิ่มขึ้น สำหรับประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับวันนี้คือ การถวายผ้าอาบน้ำฝนและการแห่งถวายเทียนพรรษา
     
       17. วันออกพรรษา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 เป็นวันที่พระภิกษุพ้นข้อกำหนดทางวินัยที่จะอยู่จำพรรษา นับตั้งแต่วันเข้าพรรษาเป็นต้นมา และสามารถจาริกไปค้างแรมที่อื่นได้ ซึ่งจะมีประเพณีที่เกี่ยวข้อง คือ การตักบาตรเทโวโรหนะ คือวันถัดจากวันออกพรรษา 1 วัน ซึ่งพุทธศาสนิกชนมักจะตักบาตรในวันนี้ ด้วยนิยมว่าเป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้า เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากเสด็จไปโปรดพุทธมารดาอยู่ 3 เดือน และถัดจากออกพรรษา 1 เดือน ถือเป็น เทศกาลกฐิน ที่จะทำบุญถวายผ้ากฐินตามวัดต่าง ๆ 
    

วันสำคัญอื่น ๆ ของชาติ และวันสำคัญทางประเพณี
     
       18. วันขึ้นปีใหม่ ก่อนที่ไทยเราจะมีวันปีใหม่แบบสากลเช่นปัจจุบัน เราได้มีการเปลี่ยนแปลงปีใหม่มาแล้วถึง 3 ระยะ คือ เริ่มแรก ถือวันแรม 1 ค่ำเดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ ระยะที่สอง เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 คือราวช่วงสงกรานต์ โดยใช้ปีนักษัตรและการเปลี่ยนจุลศักราชเป็นเกณฑ์ ระยะที่สาม ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 เมษายนอันเป็นนับวันทางสุริยคติ ซึ่งได้ประกาศใช้มาตั้งแต่พ.ศ. 2432 ระยะที่สี่ คือในปี พ.ศ. 2483 รัฐบาลได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ไทยให้เป็นไปตามแบบสากลนิยม คือวันที่ 1 มกราคม โดยมีเหตุผลว่า วันดังกล่าวกำหนดขึ้นโดยการคำนวณด้วยวิทยาการทางดาราศาสตร์ และเป็นที่นิยมใช้กันมากว่าสองพันปี อีกทั้งไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิศาสนา หรือการเมืองของชาติใด แต่สอดคล้องกับจารีตประเพณีของไทยแต่โบราณที่ใช้ฤดูหนาวเป็นต้นปี
     
       19. วันเด็กแห่งชาติ ตรงกับวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม จัดขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เด็กได้ตระหนักถึงความสำคัญของตน และขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้ประชาชน และสังคมเห็นความสำคัญของเด็กที่จะเติบโตเป็นอนาคตของชาติ และเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญที่ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่
     
       20. วันครู ตรงกับวันที่ 16 มกราคม จัดขึ้นเพื่อให้สังคมได้ระลึกถึงความสำคัญของ " ครู " ในฐานะผู้เสียสละและประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน โดยเฉพาะช่วยสร้างบุคลากรที่เป็นอนาคตของชาติ
     
       21. วันอนุรักษ์มรดกไทย ตรงกับวันที่ 2 เมษายน อันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผู้ทรงเป็นแบบอย่างในการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจและพระราชจริยวัตรในด้าน อนุรักษ์มรดกของชาติในสาขาต่างๆ ทรงได้รับการถวายพระสมัญญาเป็น "เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย" และ "วิศิษฏศิลปิน" อันหมายถึง ผู้เป็นเลิศในทางศิลปะ ทรงเป็นเมธีทางวัฒนธรรม และทรงมีคุณูปการต่องานศิลปะวัฒนธรรม


30 วันสำคัญของไทย
     
       22. วันสงกรานต์ เป็นปีใหม่แบบเดิมของไทย ที่นับวันที่พระอาทิตย์ย่างเข้าสู่ราศีเมษ เป็นวันเริ่มต้นปี โดยเรียกวันที่ 13 เมษายน เป็น "วันมหาสงกรานต์" และถือเป็น "วันผู้สูงอายุแห่งชาติ" ด้วย ส่วนวันที่ 14 เมษายน เรียก "วันเนา" และถือเป็น "วันครอบครัว" ส่วนวันที่ 15 เมษายน เรียกว่า "วันเถลิงศก" หรือวันขึ้นจุลศักราชใหม่ ปีนี้นางสงกรานต์ชื่อ มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย หัตถ์ขวาทรงจักร หัตถ์ซ้ายทรงตรีศูรย์ เสด็จนั่งมาเหนือหลังนกยูง
    
       23. วันพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ นอกจากจะเป็นพระราชพิธีโบราณเก่าแก่ที่จะทำเพื่อเป็นการเสริมสร้างความเป็น สิริมงคลแก่การเกษตรกรรมแล้ว วันดังกล่าวยังถือเป็น "วันเกษตรกร" อีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้มีอาชีพทางการเกษตรได้ระลึกถึงความสำคัญของการเกษตร โดยเฉพาะประชาชนทั่วไปจะได้ระลึกถึงความสำคัญของข้าวและธัญญพืชที่มีคุณเอนกอนันต์ในการหล่อเลี้ยงชีวิตให้เติบโตสมบูรณ์ทั้งกายใจ และเหนือสิ่งอื่นใดเพื่อพึงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชกรณียกิจอันเป็นแบบอย่างทางด้านเกษตรกรรมแก่ราษฎร ชักนำให้มีใจมั่นในการประกอบอาชีพและเป็นเหตุของความตั้งมั่นความเจริญ ไพบูลย์ของประเทศมาโดยตลอด



     
       24. วันสุนทรภู่ ตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน เป็นวันคล้ายวันเกิดของพระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นกวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น และมีผลงานประพันธ์มากมาย เฉพาะเรื่อง พระอภัยมณี วรรณกรรมชิ้นเอกของท่าน ก็มีความยาวถึง 12,706 บท ถือได้ว่าเป็นกวีนิพนธ์ที่ยาวที่สุดในโลก ในขณะที่บทประพันธ์เรื่องอีเลียต ( Iliad ) ) และโอเดดซี (Odyssey) ของฝรั่งที่ว่ายาวที่สุด ยังมีเพียง 12,500 บทเท่านั้น เมื่อปี พ.ศ. 2529 ท่านได้รับยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก
     
       25. วันภาษาไทยแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 29 กรกฎาคม เป็นวันคล้ายวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ได้ทรงพระกรุณาเสด็จฯ ไปทรงร่วมอภิปรายกับผู้ทรงคุณวุฒิทางภาษาไทยของชุมนุมภาษาไทยคณะอักษร ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกี่ยวกับปัญหาการใช้คำไทย เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2505 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถ ความสนพระราชหฤทัย และความห่วงใยในภาษาไทยของพระองค์ท่านเป็นอย่างมาก



     
       26. วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ "วันแม่แห่งชาติ"ตรงกับวันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ผู้ทรงเปรียบประดุจ "แม่แห่งแผ่นดิน" ที่ทรงดูแลทุกข์สุขของราษฎรดังลูก ๆ ของพระองค์ และทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่เพื่อปวงชนชาวไทยเคียงคู่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาโดยตลอด โดยเฉพาะด้านศิลปาชีพ และการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมของไทย


    

        27. วันพิพิธภัณฑ์ไทย ตรงกับวันที่ 19 กันยายน เป็นวันน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ 5 ผู้ทรงให้กำเนิด "พิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชน" ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่19 กันยายน พ.ศ. 2417 ณ ศาลาสหทัยสมาคม หรือ "หอคองคอเดีย" ในพระบรมมหาราชวัง
     
       28. วันมหิดล ตรงกับวันที่ 24 กันยายน เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก ผู้ทรงมีคุณูปการต่อการแพทย์สมัยใหม่ จนได้รับการเฉลิมพระเกียรติว่าทรงเป็น " พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน "


    
       29. วันลอยกระทง ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 เป็นประเพณีที่สืบทอดมาแต่โบราณ โดยมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย เช่น ลอยเคราะห์ บูชาพระพุทธเจ้า แต่ปัจจุบันนิยมทำเพื่อขอขมา และระลึกถึงคุณแม่พระคงคา ที่ได้อำนวยประโยชน์ต่าง ๆ แก่มนุษย์

       30. วันกีฬาแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 16 ธันวาคม เป็นวันระลึกถึงวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงชนะเลิศได้รับเหรียญทอง ในการแข่งขันเรือใบประเภท โอ.เค.ในกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2510 และเพื่อให้ประชาชน เยาวชน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของกีฬาที่มีส่วนช่วยส่งเสริมให้เรามีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ

        ทั้งหมดนี้ คือวันสำคัญของไทยในรอบปีหนึ่ง ๆ ที่แม้จะมิใช่วันหยุดราชการทั้งหมด แต่ก็เป็นวันสำคัญของชาติที่เยาวชนไทยควรได้ทราบเพื่อเป็นความรู้ต่อไป


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก